2023年 6月 7日
ไม่มีหมวดหมู่

โรค ไก่ ขาอ่อน-Carerot898 โพสต์ผลงานแล้ว ดูแล

1:Carerot898 โพสต์ผลงานแล้ว ดูแล

7/2วิเคราะห์ใบหน้า:ดูรายงานเกี่ยวกับรูปหน้าของคุณ

2:Carerot898 โพสต์ผลงานแล้ว ดูแล

9/9วิเคราะห์ใบหน้า:ดูรายงานเกี่ยวกับรูปหน้าของคุณ

3:Carerot898 โพสต์ผลงานแล้ว ดูแล

7/4วิเคราะห์ใบหน้า:ดูรายงานเกี่ยวกับรูปหน้าของคุณ

4:Carerot898 โพสต์ผลงานแล้ว ดูแล

7/19วิเคราะห์ใบหน้า:ดูรายงานเกี่ยวกับรูปหน้าของคุณ

5:เทคนิครักษาผิวแตกลายด้วย Discovery Picosecond Laser 🏆

📍เทคนิคดูแลผิวแตกลายด้วยDiscoveryPicosecondLaserhttps://youtu.be/nQMVP9Hgdeo

🔬DoubleLaserTreatment:PicosecondLaser+FractionalAblativeLaserhttps://youtu.be/f9VxfKZ-HDshttps://bit.ly/3DxiB0J

👨‍⚕️หมอใช้เทคนิคการดูแลรอยแตกลายด้วยการใช้สองเลเซอร์ซึ่งมีกลไกการกระตุ้นคอลลาเจนแตกต่างกันDoubleLaserTreatment:PicosecondLaserจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยการทำให้เกิดโพลงLIOB(Laserinducedopticalbreakdown)ในชั้นผิว+FractionalAblativeLaserซึ่งทำให้เกิดพลังงานความร้อนMTZ(MicrothermalZones)มาฝากกันครับ

🔬รอยแตกลายหรือผิวแตกลาย(StretchMarkหรือStriae)เกิดจากการยืด-ขยายอย่างรวดเร็วของผิวหนังและเนื้อเยื่อเช่นจากการตั้งครรภ์นํ้าหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้โครงสร้างคอลลาเจนถูกทำลายจนเกิดรอยแตกลายบริเวณต่างๆซึ่งผิวแตกลายนั้น

•มักจะเกิดขึ้นที่ผิวหนังชั้นกลางและเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มากเช่นบริเวณหน้าท้องหน้าอกเต้านมสะดือต้นแขนต้นขาสะโพกรักแร้และน่อง

•ส่วนมากจะเจอปัญหานี้ตอนเด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นเพราะเป็นวัยกำลังเจริญเติบโตหรือเกิดจากการมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วจนผิวหนังขยายตามไม่ทัน*

•และปัญหาผิวแตกลายในสตรีตั้งครรภ์มากถึง90%เพราะครรภ์โตจนทำให้หน้าท้องและขาอ่อนแตกลาย*

Plast.Reconstr.Surg.148:77,2021.

🧬อาการเริ่มแรกของผิวแตกลายคือผิวหนังจะเกิดรอยเป็นเส้นสีแดงหรือม่วงStriaerubes(ระยะแรก)และจะมีสีอ่อนลงเรื่อยๆจนเป็นสีขาวขุ่นStriaealba(ระยะหลัง)

•โดยรอยแตกลายจะแบ่งออกเป็น4ประเภทหลักๆดังนี้

1.Striaedistensaeมีลักษณะเป็นลายเส้นขนานจากการยืด

2.Striaeatrophicansมีลักษณะเป็นลายเส้นขนานโดยมีอาการผิวฝ่อ

3.Striaerubraมีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีแดง*

4.Striaealbaมีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีขาว*

🔬ลักษณะจากการตรวจชิ้นเนื้อพบผิวชั้นนอกEpidermisมีการฝ่อตัวลงชั้นหนังแท้dermisมีการฝ่อความหนาลดลงมีคอลลาเจนและextracellularmatrixลดลงเส้นใยอีลาสตินelasticfiberลดลงในส่วนกลางของรอยโรค

💊วิธีการดูแลผิวแตกลาย

•พยายามไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว:โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างวัยรุ่นผู้ออกกำลังและหญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่กำลังจะลดน้ำหนัก

•ทาครีมบำรุงหรือครีมลดรอยแตกลายเป็นประจำ:เน้นการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นสูงในบริเวณผิวแตกลายทุกวันเป็นประจำก่อนนอนและในตอนเช้าหรือทาทุกครั้งหลังอาบน้ำและอย่าปล่อยให้บริเวณที่ผิวแตกลายแห้งเป็นอันขาดเพราะมันอาจจะลุกลามกว้างขึ้นได้สารที่มีการศึกษาเช่นHyarulonicacid,สารสกัดจากใบบัวบกCentella,วิตามินCAscorbicacidซิลิโคนเป็นต้นครับ

***ยาทาดูแลผิวแตกลาย:เป็นยาทาในกลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอที่แนะนำคือTretinoinเช่นเรตินเอ(RetinA)ให้เลือกใช้ความเข้มข้น0.025%หรือ0.05%หลังเช็ดตัวให้แห้งรอให้แห้งสนิทสักประมาณ10นาทีนำมาทาบริเวณผิวที่เป็นรอยแตกก่อนเข้านอนและทำวันเว้นวัน***

•การใช้การรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและคลินิกที่ได้มาตรฐานเชื่อถือได้

•รักษาด้วยทรีตเมนต์:แบ่งออกเป็นการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี(Microdermabrasion)/การผลัดเซลล์ด้วยกรดผลไม้(ChemicalPeel)(ให้ผลการรักษาประมาณ10-20%)/การรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน(ให้ผลการรักษาประมาณ20-40%)ได้ผลไม่มากหมอไม่ค่อยแนะนำครับ

*รักษาด้วยวิธีDermaroller:ช่วยทำลายพังผืดที่หลุมบนผิวหรือรอยที่เป็นปัญหาซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังและโดยมากแล้วจะนำมาใช้ควบคู่ไปกับตัวยาหรือเซรั่มบำรุงผิวแต่ต้องทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุกๆ2สัปดาห์ติดต่อกัน5-6ครั้งจึงจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ผลไม่มากหมอไม่ค่อยแนะนำครับ

•รักษาด้วยวิธีแสงความเข้มข้นสูงIPLIntensedPulsedLight:เทคนิคการใช้แสงความเข้มสูงนำมายิงบริเวณผิวที่เป็นรอยแตกแต่วิธีนี้จะได้ผลดีกับรอยแตกในระยะแรกที่มีสีแดง*และต้องทำอย่างน้อย5ครั้ง(ห่างกันครั้งละ2สัปดาห์)ให้ผลรอยแตกลายจางลงประมาณ30-50%ขึ้นอยู่กับระยะของรอยแตกที่เป็นเหมาะในรายที่รอยแตกลายยังมีสีแดงอยู่

•รักษาด้วยวิธีการCarboxytherapy:การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวตึงกระชับขึ้นและยังช่วยสลายเซลล์ไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ต้องการได้อีกด้วยโดยอาศัยเทคนิคการฉีดก๊าซที่แตกต่างกันซึ่งจะเป็นการฉีดตื้นๆเข้าไปเพียงชั้นหนังแท้ตามแนวร่องแตกลายผิวหนังแต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำอย่างน้อย3-5ครั้งติดต่อกันทุกๆ1สัปดาห์ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลประมาณ30-60%หรืออาจจะไม่ได้ผลเลยในบางรายเป็นวิธีการดูแลรักษาเก่าปัจจุบันเลเซอร์ได้ผลดีกว่าครับ

🧬เลเซอร์รอยแตกลาย:แบ่งออกเป็น

-เลเซอร์แบบช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนปรับสีรอยแตกลายให้ใกล้เคียงกับสีผิวปกติเช่นlongpulsedndyag(Coolglide),erbiumglasslaser(Fraxel,Finescan),

-เลเซอร์สร้างผิวใหม่FractionalAblativeLaserเช่นFractionalCarbondioxideLaser,FractionalErbiumlaser

-เลเซอร์แบบรักษารอยแดงหรือรักษาความผิดปกติของเส้นเลือดเหมาะสำหรับรอยแตกลายที่มีสีแดงเช่นPulseddyelaserPDL(Vbeam)

-PicosecondLaserเป็นเทคโนโลยีที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของวงการเลเซอร์ผิวหนังเพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องกำจัดเม็ดสีแล้วยังช่วยในเรื่องของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่โดยไม่เกิดการสะสมพลังงานความร้อนจึงไม่กระทบผิวข้างเคียงและใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าเครื่องเลเซอร์รุ่นเดิม

•ช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว

•หลังทำไม่มีแผลตกสะเก็ดไม่ต้องพักฟื้นและเจ็บน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องเลเซอร์รุ่นอื่นๆรวมทั้งไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการรักษาด้วยเลเซอร์รุ่นเดิมๆ

•ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน(Elastin)ใต้ชั้นผิวช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพเนื้อเยื่อบริเวณรอยแตกลายให้เรียบเนียนช่วยให้ผิวแข็งแรง

•ซึ่งการรักษาด้วยเลเซอร์สามารถรักษาได้ทั้งรอยแตกลายในระยะแรก-ระยะหลังและการรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลประมาณ40-60%

•การใช้คลื่นวิทยุRadioFrequencydeviceเช่นEmatrix,InfiniRFMicroneedle

•การใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นPRP/PRFซึ่งมีสารช่วยกระตุ้นGrowthfactorการสร้างเส้นใจคอลลาเจนและอีลาสติน

🔬ปัจจุบันมีการศึกษาการใช้หลายเทคนิคร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่ดียิ่งขึ้นครับเช่น

•FractionalCO2Laser+FractionalRF

•Microdermabrasion+เกล็ดเลือดเข้มข้นPRP

•AblativeRFwithtopicalretinoicacidcreamเป็นต้น

👨‍⚕️หมอใช้เทคนิคการดูแลรอยแตกลายด้วยการใช้สองเลเซอร์ซึ่งมีกลไกการกระตุ้นคอลลาเจนแตกต่างกันDoubleLaserTreatment:PicosecondLaserจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยการทำให้เกิดโพลงLIOBLaserinducedopticalbreakdownในชั้นผิว+FractionalAblativeLaserซึ่งทำให้เกิดพลังงานความร้อนMTZMicrothermalZonesมาฝากกันครับ

*การรักษารอยแตกลายต้องใช้เวลาและความอดทนในการรักษาและฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาเรียบเนียนดังเดิมครับ*

JAmAcadDermatol.2017Sep;77(3):559-568.e18.

IndianDermatolOnlineJ2019;10:380-95.

🧬การดูแลหลังการดูแลรักษาด้วยเลเซอร์

•ประคบเย็นบ่อยๆในวันแรก

•ทาครีมลดอาการแดงหนาๆบ่อยๆและทาครีมที่ชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษ

•บำรุงผิวด้วยสกินแคร์ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและห้ามใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งหรือสารจำพวกกรดอ่อน

•ไม่ควรออกแดดหรือโดนแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย2สัปดาห์หากจำเป็นต้องออกที่แจ้งให้ป้องกันตัวเองจากแสงแดดด้วยการสวมแว่นตากันแดดสวมหมวกสวมเสื้อแขนยาวหรือกางร่มเป็นต้น

•ทาครีมกันแดดที่ป้องกันUVAและUVBมีค่าSPF40-50เป็นประจำหากมีกิจกรรมกลางแจ้งแดดจัดแนะนำให้ทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ2ชั่วโมง

Stretchmarksareoneofthemostcommonbenigncutaneouslesionsandencounteredestheticproblems.Striaerubraeandstriaealbaecanbedifferentiatedonthebasisofclinicalappearance.Histologically,disturbancesofthedermalfibernetworkandlocalexpressionofreceptorsforsexualsteroidshavebeendetected.Theepidermalchangesaresecondary.Preventionofstretchmarksusingtopicalointmentsandoilsisdebatable.Treatmentofstriaerubraebylasersandlightdevicesimprovesappearance.Microneedlingandnon-ablativeandfractionatedlasershavebeenused.

6:โรคกระดูกพรุน #กระดูกพรุน

กระดูกพรุนกระดูกโปร่งบาง

โรคกระดูกพรุนหรือกระดูกโปร่งบางคือภาวะที่ปริมาณเนื้อกระดูกลดลงและมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของกระดูกทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงเกิดกระดูกหักได้ง่ายขึ้น

โรคกระดูกพรุนพบบ่อยรองจากโรคข้อเสื่อมโดยที่ไม่แสดงอาการผิดปกติการสูญเสียเนื้อกระดูกไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมได้ดังนั้นจึงควรป้องกันและให้การรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก่อนที่จะเกิดกระดูกหัก

ในวัยเด็กปริมาณเนื้อกระดูกจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนสูงสุดเมื่ออายุ30-35ปีหลังจากนั้นเนื้อกระดูกจะลดลงอย่างช้าๆแต่ในผู้หญิงเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนปริมาณเนื้อกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ผู้หญิงสูญเสียปริมาณเนื้อกระดูกมากกว่าผู้ชาย2-3เท่าผู้หญิงมีโอกาสเกิดโรคนี้ถึงร้อยละ30-40แต่ผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคนี้เพียงร้อยละ10

พบว่าในผู้หญิงอายุ60-70ปีเป็นโรคนี้ร้อยละ40และในผู้หญิงอายุมากว่า80ปีจะเป็นโรคนี้ถึงร้อยละ60

จะเห็นว่าทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนแต่ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงจะมีโอกาสเป็นโรคมากกว่าผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน

1.ผู้หญิงหลังจากหมดประจำเดือน(ตามธรรมชาติหรือผ่าตัดรังไข่ออกทั้งสองข้าง)สาเหตุสำคัญเชื่อว่าเกิดจากภาวะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน

2.รับประทานอาหารที่ไม่ถูกสัดส่วนเช่นรับประทานอาหารโปรตีนสูง(เนื้อสัตว์)หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง(รสเค็ม)แต่รับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมต่ำ

3.กรรมพันธุ์โดยเฉพาะผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น

4.สูบบุหรี่ดื่มสุราดื่มกาแฟมากกว่า4แก้วต่อวันดื่มน้ำอัดลมมากกว่า1ลิตรต่อวัน

5.ขาดการออกกำลังกายที่มีการแบกรับน้ำหนัก

6.น้ำหนักตัวโดยเฉพาะในผู้หญิงจะพบว่าคนรูปร่างผอมมีความเสี่ยงมากกว่าคนที่มีรูปร่างอ้วน

7.เป็นโรคบางอย่างเช่นไตวายเบาหวานรูมาตอยด์ไทรอยด์พิษสุราเรื้อรังธาลัสซีเมียโรคมะเร็งบางชนิดเป็นต้น

8.ยาบางชนิดเช่นยาสเตียรอยด์ยาลดกรดในกระเพาะ(ยาธาตุน้ำขาว)ยากันชักยาขับปัสสาวะ

9.ผู้สูงอายุเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากการขาดแคลเซี่ยมเป็นเวลานานเนื่องจากรับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมต่ำหรือลำไส้ดูดซึมแคลเซี่ยมได้น้อยลงและอาจร่วมกับการขาดวิตามินดีเพราะผู้สูงอายุมักไม่ได้ออกไปสัมผัสกับแสงแดด

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระดูกพรุนแพทย์สามารถบอกได้โดยอาศัยหลายๆวิธีประกอบกันทั้งจาก…

•ประวัติความเจ็บป่วยแต่โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะปกติดีจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุทำให้มีกระดูกหักเกิดขึ้นทั้งๆที่เป็นอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงเช่นลื่นหกล้มหรือตกจากเก้าอี้เป็นต้นตำแหน่งที่พบกระดูกหักได้บ่อยในโรคกระดูกพรุนคือบริเวณกระดูกข้อมือกระดูกหัวไหล่กระดูกสันหลังกระดูกสะโพกและกระดูกส้นเท้า

•ผู้สูงอายุที่มีหลังโก่งหรือความสูงลดลงซึ่งเกิดจากกระดูกสันหลังค่อยๆยุบตัวลงโดยความสูงลดลงมากกว่า1.5นิ้วเมื่อเทียบกับความสูงที่สุดช่วงอายุ25-30ปี(ความสูงที่สุดมีค่าเทียบเท่ากับความยาวจากปลายนิ้วทั้งสองข้าง)

•แบบประเมินความเสี่ยงการเกิดกระดูกหักFRAX

•การเอ๊กซเรย์กระดูกในตำแหน่งต่างๆเช่นกระดูกข้อมือกระดูกสะโพกกระดูกสันหลังเป็นต้น

•การวัดความหนาแน่นของเนื้อกระดูกเช่นการวัดด้วยคลื่นเสียงอัลตร้าหรือเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์เป็นต้น

•การตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆเช่นการตรวจปัสสาวะการตรวจสารเคมีในเลือดเป็นต้น

•การตัดชิ้นเนื้อกระดูกเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาซึ่งจะทำในรายที่จำเป็นเท่านั้น

แนวทางรักษาปัจจุบันรักษาโดยใช้หลายๆวิธีร่วมกันได้แก่

1.การออกกำลังกายต้องเป็นการออกกำลังกายที่มีการแบกรับน้ำหนักเช่นเดินวิ่งเหยาะๆเต้นแอโรบิกแบบแรง-กระแทกต่ำ(สเต็ปแอโรบิก)ลีลาศยกน้ำหนักเป็นต้นจะช่วยเพิ่มเนื้อกระดูกในบริเวณที่รับน้ำหนักได้

ควรออกกำลังกายอย่างน้อย3วันต่อสัปดาห์แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ30นาทีโดยให้ชีพจรเต้นเร็วขึ้นประมาณร้อยละ60-70ของชีพจรสูงสุด(ชีพจรสูงสุด=220ลบด้วยอายุของผู้ที่ออกกำลังกาย)

ออกไปสัมผัสกับแสงแดดในช่วงเช้าและเย็นอย่างสม่ำเสมอและนานเพียงพอ(ประมาณ15–20นาทีต่อวัน)

2.ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้สูญเสียเนื้อกระดูกเช่น

รับประทานอาหารให้เหมาะสมเช่นหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปรตีนสูงและโซเดียมสูงแต่เพิ่มอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง

หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ดื่มสุราดื่มกาแฟมากกว่า4แก้วต่อวันหรือดื่มน้ำอัดลมมากกว่า1ลิตรต่อวัน

หลีกเลี่ยงยาบางชนิดเช่นยาสเตียรอยด์ยาลดกรดในกระเพาะ(ยาธาตุน้ำขาว)ยากันชักยาขับปัสสาวะ

3.การรักษาด้วยยาจะมียาอยู่หลายกลุ่มซึ่งมักจะต้องใช้ร่วมกันยกตัวอย่างเช่น

-ฮอร์โมนเอสโตรเจน

ต้องได้รับฮอร์โมนภายใน3-5ปีหลังเริ่มหมดประจำเดือนเป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย5-6ปีจึงจะได้ผลดีที่สุดในการป้องกันโรคกระดูกพรุนซึ่งแพทย์จะพิจารณาผู้ป่วยเป็นรายๆไปเพราะต้องใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานทำให้มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงของยามากขึ้นและห้ามใช้ในผู้ที่เป็นมะเร็งมดลูกมะเร็งเต้านมโรคตับหลอดเลือดดำอุดตัน

-แคลเซี่ยม

ปริมาณแคลเซี่ยมที่ควรจะได้รับในแต่ละช่วงอายุจะแตกต่างกันเด็กและวัยรุ่นควรได้รับวันละ800-1,200มิลลิกรัมคนทั่วไปควรได้รับวันละ800มิลลิกรัมผู้หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรได้รับวันละ1,500-2,000มิลลิกรัมผู้หญิงช่วงหมดประจำเดือนควรได้รับวันละ1,500มิลลิกรัมและผู้สูงอายุควรได้รับวันละ1,000มิลลิกรัม

อาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงเช่นน้ำนมกุ้งแห้งกะปิผักใบเขียวปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งตัวเต้าหู้เหลืองน้ำเต้าหูหรืออาหารจานเดียวเช่นข้าวขาหมูข้าวหมูแดงก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้วใส่ไข่ข้าวราดไก่ผัดกระเพราขนมจีนน้ำยาเป็นต้น

ผู้ที่ได้รับแคลเซี่ยมจากอาหารไม่เพียงพออาจจำเป็นต้องได้รับแคลเซี่ยมชนิดเม็ดเสริม

ถ้าได้รับแคลเซี่ยมอย่างเพียงพอนานประมาณ18เดือนจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักได้บ้าง

ในผู้สูงอายุควรได้รับแคลเซี่ยมร่วมกับฮอร์โมนเอสโตรเจนแคลซิโทนินหรือวิตามินดีจึงจะได้ผลดียิ่งขึ้น

ข้อมูลอ้างอิงจาก..คณะเเพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

7:Item ลับ ครบจบตัวช่วยดูแลผิวกาย โคตรว้าว!

หากพูดถึงตัวช่วยเรื่องกลิ่นตัวความสะอาดใครๆน่าจะนึกถึงแบรนด์ตามท้องตลาดแต่ๆไอเทมลับวันนี้จะมาบอกของดีแต่ไม่ค่อยมีใครรู้G&Hเป็นแบรนด์ที่เขาการันตีว่าใช้สารสกัดจากธรรมชาติ100%มีอะไรบ้างไปดูกัน

•สบู่ระงับกลิ่นกายอันนี้ดีเพราะว่าfeelingตอนใช้รู้สึกสะอาดมากผิวไม่แห้งเหมือนอาบด้วยน้ำนมยังไงไม่รู้แฮะ

•โลชั่นบำรุงผิวตัวนี้เหมือนกันเลยเหมือนทาน้ำนมไม่เหนียวแห้งไวที่สำคัญหอมมากๆเห็นบอกว่ามีสารสกัดจากองุ่นด้วยไม่มีแอลกอฮอล์

•สบู่น้ำผึ้งในตำนานบำรุงผิวด้วยสารสกัดออแกนิคที่สำคัญตัดแบ่งใช้ได้ด้วยแบ่งเป็น4ก้อน

•โรลออนและสเปรย์อันนี้จบเลยใครมีกลิ่นตัวใช้อะไรมาแล้วไม่หายตัวนี้หยุดทุกปัญหานั้นเลยเพราะเคยเป็นมาก่อนระงับกลิ่นดีมากทั้งคู่เลยใครชอบแบบไหนก็ใช้แบบนั้นส่วนตัวลองแล้วทั้งคู่แอบชอบสเปรย์มากกว่าแฮะประทับจายยย❤️

8:Carerot898 โพสต์ผลงานแล้ว ดูแล

7/12วิเคราะห์ใบหน้า:ดูรายงานเกี่ยวกับรูปหน้าของคุณ